Mar 18, 2016

PAKISTAN 2016 // Day 0 Part 1

#18/03/2016

วันนึงในระหว่างที่เล่น Facebook ในเวลางาน (อุ๊บส์)
ก็มีเพจของรุ่นพี่มหาลัย โพสว่า ต้องการหาเพื่อนไปเที่ยวปากีสถาน
พร้อมทั้งโพสรูปทริปก่อนหน้าที่พี่เค้าเคยไปมา ซึ่งเราก็เคยเห็นผ่านมาล่ะ แล้วก็รู้สึกว่าสวยจัง(จบ)
http://pantip.com/topic/34015062

ที่จบหมายถึง ตอนนั้นที่ดูรูปก็รู้สึกว่า เฮ้ย ไม่น่าเชื่อว่าปากีสถานจะสวยแบบนี้
แต่ความรู้สึกอยากไปเที่ยวมันถูกกลบไปด้วยความคิดว่า "ไปยาก" "เที่ยวยาก"
เลยทำให้ดูรูปแล้วก็จบไป ไม่ได้คิดจะอะไรต่อ

จนเห็นโพสนี้เข้าก็สนใจ แล้วก็ส่ง link ไปให้น้องในออฟฟิศดู
ส่วนเรานั้น พอเสนอเรื่องไปให้คุณผู้ชายดู คุณผู้ชายก็ยืนกรานกลับมาว่า ไม่(ชั้นไปจะญี่ปุ่น!!!)
ระหว่างที่เรากำลังงอแงอยู่ น่าจะ 2-3 วันได้ น้องในออฟิศก็บอกเราว่า
"ผมคอนเฟิร์มทริปไปละนะ"

"......"

เราหันมาหาคุณผู้ชายทันที

"เธอ!!! เราจะไป" 

บวกกับน้องในออฟฟิศไปบอกรุ่นพี่ว่าได้รับการแนะนำมาจากเรา รุ่นพี่เลย inbox มายั่วกิเลสรัวๆ ชักชวนให้ไปด้วยกัน
พร้อมกะย้ำว่า ปากีสถาน มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดนะ
ธรรมชาติสวยงาม ผู้คนใจดี มันไม่เหมือนกับภาพพจน์ที่เราเข้าใจกันเลย
บลา บลา บลา (คือหลังๆเริ่มคิด พี่ไม่บิ้วต้องละ จ่ายตังค์เลยจบป่ะ ฮ่าๆๆๆ)

ในที่สุด มารก็ชนะความดี... ใช่มั๊ย หึ๊ ฮ่าๆๆๆๆ
กิเลสปากี ชนะ กิเลสญี่ปุ่น ในที่สุด

ผ่านไปประมาณ 1 เดือน ทริปปากีสถานก็สมบูรณ์ ได้จำนวนคนครบ ปิดรับสมัครไปอย่างสวยงาม
(สรุปว่าในทริปเป็นคนรู้จักเกือบครึ่ง เริ่มจากรุ่นพี่เจ้าของทริป รุ่นพี่มหาลัยที่รู้จักกันอีกคน เพื่อนมหาลัยอีกคน น้องที่ทำงานเดียวกันอีก 3 คน คุณผู้ชายอีก 1 คน)
หลังจากนั้นก็ถึงขั้นตอนของการเตรียมตัว

1) ตั่วเครื่องบิน
สายการบินที่มีเที่ยวบินตรงจากกรุงเทพไปอิสลามาบัด (เมืองหลวงของปากีสถาน)
เท่าที่รู้ก็น่าจะมีแค่การบินไทย (ย้ำ เท่าที่รู้นะ)
วันที่เราจะไปกันก็คือ 8-18 April ราคาที่ได้มาคือ ไป-กลับ อยู่ที่ 17,035 บาท
จริงๆตอนแรกรุ่นพี่แจ้งว่าจะไป 6-16 แต่ตอนนั้นคนยังไม่ครบที่จะเปิดทริปได้
ก็เลยรอไปก่อน จนอยู่ๆ ราคาตั๋วก็เด้งขึ้นไปเป็น 22k เฉยเลย (กรี๊ดดดด)
เลยต้องขยับมาเป็น 8-18 แทน ซึ่งราคานี้คือรีบซื้อเลยนะ กลัวไม่ได้ไปว่างั้น

2) วีซ่า
สิ่งที่ต้องเตรียมคือ

  1. Passport ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 6 เดือน นับจากวันเดินทาง และมีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า (ของเรานี่คือ มีหน้าใช้งานอยู่แค่ 2 หน้าจ้าาาา 555555)
  2. รูปถ่ายสี ขนาด 1.5 นิ้ว หรือ 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ
  3. สำเนาทะเบียนบ้าน 1 ชุด
  4. สำเนาบัตรประชาชน 1 แผ่น
  5. สำเนาใบสมรส/ใบหย่า (ถ้ามี) (แปลเป็นภาษาอังกฤษ)
  6. สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี) (แปลเป็นภาษาอังกฤษ)
  7. สำเนาใบสูติบัตร (กรณีอายุไม่ถึง 20 ปี) (แปลเป็นภาษาอังกฤษ)
  8. จดหมายรับรองการทำงาน (เป็นภาษาอังกฤษ) ระบุ ตำแหน่ง เงินเดือน และ วันเดือนปี ที่เริ่มเข้าทำงาน (ฉบับจริง)
  9. จดหมายรับรองการเงินจากธนาคาร/ถ่ายสมุดเงินฝากออมทรัพย์ ย้อนหลัง 6 เดือน

**ผู้ทำวีซ่าต้องไปแสดงตัวด้วย ไม่สามารถฝากคนอื่นไปทำเรื่องให้ได้นะจ๊ะ

เอาล่ะ เรื่องหนักใจเริ่มมา หนักใจแรก...รูปถ่าย
น้องที่ทำงานสองคน ตัดสินใจถ่ายรูปเอง แล้วเอาไปปริ้น เป็นขนาด 2 นิ้ว
ส่วนเรากับคุณผู้ชาย และน้องอีก 1 คน ตัดสินใจไปถ่ายที่ร้านแถวสยาม
ซึ่งพอไปถึง พนักงานถามทันที เอาไปทำวีซ่าไปประเทศไหน
"เอ่อ.. ไปปากีสถานค่ะ"
"..."
พนักงานสตั้นไปถามวิ แล้วถามกลับว่า มันต้องใช้ขนาดเท่าไหร่
พี่คะ.... หนูก็ไม่รู้ ฮือๆๆๆ เค้าบอก 1.5 หรือ 2 นิ้ว ก็ได้ 
แต่พนักงานที่ร้านเค้าก็ดูกังวล กลัวว่าถ่ายไปแล้วจะผิดมั๊ง เราเลยต้อง google หาดู
(น้องที่ถ่ายเองไม่เห็นเค้าคิดมากเลยนะ สุดท้ายก็ใช้ได้เหมือนกัน)



นี่คือรูปที่เราได้จากอากู๋ ยื่นให้พนักงานร้านดูเลย เอาขนาดนี้แหละ
พนักงานถามคำถามกลับมา

"เอ่อ...ขนาดหัวนี่ วัดจากบนสุดเลยเน๊อะ"
"...คะพี่??"
"คนในรูปเค้าไม่มีผมอ่ะครับ แต่เราก็วัดจากบนสุดของหัว จากผมเลยเน๊อะ"
พี่คะะะะะะะ ถามเอาฮาใช่มั๊ยยยยยย (เสียงในใจ 5555555)

จบเรื่องรูปถ่ายไป ... ต่อมา หนักใจที่สอง ใบเปลี่ยนชื่อ....
เนื่องจากเรากับน้องอีกคนในทริป ไปเปลี่ยนชื่อมา นานแล้วล่ะ
ประเด็นคือ คำว่า "แปลเป็นภาษาอังกฤษ" นี่มันคือยังไง
จะแบบ ไก่กา เขียนว่า I have changed my name from XXX to YYY ง่ายๆก็คงไม่ใช่มั๊ง

โชคดีที่น้องในออฟฟิศที่ไปด้วยกันคนนึง เค้าเป็นฝ่ายกฏหมาย
ก็เลยไปถามน้องเค้า น้องเค้าบอกว่า การแปลเอกสารเป็นภาษาอังกฤษนั้น มีค่าใช้จ่ายนะ
แล้วก็ต้องมีลายเซ็นของ Rotary ... ม่ายช่ายยย Notary จ่ะ เซ็นรับรองให้ เป็นเรื่องเป็นราว
เราก็ เฮ้ย ยากละ ต้องเสียตังค์ด้วย แอบไปถามหัวหน้าทริป หัวหน้าทริปก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
สุดท้าย น้องเลยบอกว่า เอางี้ เด๋วน้องเค้าจะแปลให้ แล้วเอาไปให้พี่ที่รู้จักกันเซ็นให้
โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายอ่ายๆๆๆๆๆๆๆ นางฟ้ามาโปรดชัดๆ (ค่าใช้จ่ายนี่แผ่นละ 1000 บาทนะจ๊ะ)

พอถึงวันไปขอวีซ่า เราก็ได้เอกสารแปลใบเปลี่ยนชื่อพอดี
ในชีวิตไม่เคยเอาเอกสารไปแปลมาก่อน คือดูดีมวากกกกกกกกกกกกก ย้ำ
มีผูกโบว์ มีอะไรไฮโซหรูหรา คือเห็นแล้วแบบ 1,000 นึงมันก็สมน้ำสมเนื้อนะ
(ก่อนหน้านี้แกยังคิดว่าแพงมากอยู่เลย)
เอาเป็นว่า เอกสารทั้งหลายแหล่ที่เค้าบอกให้แปลเป็นอังกฤษนี่
เราไม่ชัวร์นะว่ามันต้องขนาดไหน แต่ทำให้ถูกหลักคือปลอดภัยที่สุดค่ะ!!!

มาถึงหนักใจสุดท้าย Statement
พนักงานเดือนเงินน้อยแถมยังติดดอยหุ้นเยี่ยงเรา พยายามไป Search หาว่า
"จำนวนเงินที่เหมาะสมที่ต้องมีในบัญชี สำหรับขอวีซ่าปากีสถาน เท่าไหร่"
(แอบห้อยท้ายคำว่า pantip อิอิ แหม เรารู้ คุณก็ท๊ามมม)

คือแต่ละคนก็อ้อมๆแอ้มๆว่า ก็เอาที่เหมาะสมอ่ะ
ไม่มีใครรู้ว่าต้องเท่าไหร่ ก็ต้องประเมินเอาเอง
มันก็มีที่คนที่มีประสบการณ์มาแชร์ เค้าก็คร่าวๆ 50k, 60k, 70k 
เราก็อ่ะ ยากละ ชีวิตแกมีแต่คำว่า ยากๆๆๆๆๆ สินะ
เหมือนเดิม ไปถามหัวหน้าทริป หัวหน้าทริปบอก เอาให้เซฟๆ 40k ละกัน
เอาวะ 40k ก็ 40k

คือเอาจิงๆนะ เงินเดือนเป็นของนอกกายไม่เท่าไหร่
เงินเดือนยังเป็นของเจ้าหนี้ เงินเดือนเหมือนผีที่รู้ว่ามีแต่จับต้องไม่ได้ (แกเพ้ออะไร!!!)
ประเด็นคือ เงินเข้ามาแล้วมันหมดไป จบป่ะ 55555
ไหนจะค่าเช่าคอนโด ค่าผ่อนรถ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าบัตรเครดิต
ขายหุ้นออกมาก็ไม่ได้ ติดดอย โอ๊ยเศร้า

เนื่องจากเรานัดกันไปทำ Visa วันที่ 15 กุมภา เราเลยวางแผนจะไปขอ Statement วันที่ 31 มกรา
ซึ่งมันดูเป็นไอเดียที่ดีนะ หลังวันที่ 31 เราก็เอาเงินไปจ่ายค่าต่างๆได้เลย ไม่ต้องอั้นไว้นาน
ก็โอเค น่าจะจบเรื่อง วันที่ 31 เราก็รีบแจ้นไปธนาคาร ไปขอ Statement

ปล. คุณผู้ชายสงสัยว่ามันปริ้นจาก ibanking ได้มั๊ย พนักงานธนาคารบอกน่าจะได้
แต่เราไม่มั่นใจ เลยขอ Statement แบบจริงจัง (แบบต้องเสียตังค์) ไปเลยดีกว่า
หัวหน้าทริป recommend มาว่างั้น แต่มีน้องอีกคนนึง เป็นบัญชี TMB ที่ไม่มีสมุด
ก็เลยต้องใช้วิธีขอใบรับรองจากธนาคาร + ปริ้น Statement จาก web ซึ่งก็สามารถก็ใช้ได้เหมือนกัน ขอวีซ่าผ่านได้เหมือนกัน

ทีนี้ พอหลังจากทำเรื่องขอ Statement แล้ว เงินก็สะพัดออกจากบัญชีทันที
หลังจากนั้นประมาณ 3-4 วัน ก็ไปรับ Statement ที่ขอไว้
และสิ่งที่อยู่ในซองจะทำให้คุณต้องอึ้งงงงงงงงงงงงงงงง อ๊ะจ๊ากกกกกกกกกกก
ธนาคารทำเอกสาร Statement มาให้ถึงวันที่ 2 กุมภาาาาาาาาาาาา
ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
(เสียงกรี๊ดร้องดังไปถึงดาวอังคาร)
คุณทำอย่างงี้กับชั้นได้ยังง๊ายยยยยยยย ยอดสุดท้ายของบัญชีอยู่ที่ 8000พันกว่าบาท กรี๊ดดดด

หลังจากไปหาข้อมูลเพิ่มมา ปรากฏว่า ธนาคาร(กรุงเทพ) เวลาออก Statement ให้เนี่ย
เค้าจะได้ข้อมูลจนถึงวันที่เค้าคีย์ในระบบ
หมายความว่า เราไปยื่นเรื่องทำ Statement วันที่ 31 มกราคม
ธนาคารส่งเรื่องไปสำนักงานใหญ่ พนักงานที่ออก Statement ให้ ทำเอกสารให้เราวันที่ 2 กุมภา
เค้าก็จะคีย์ข้อมูลเข้าไปว่า ขอย้อนหลัง 6 เดือน จนถึงวันปัจจุบัน คือวันที่ 2 กุมภา
ฉะนั้น เราก็จะได้ Statement ย้อนหลัง 1 สิงหาคม 58 ถึง 2 กุมภาพันธ์ 59
(ซองในมือชั้นมันสั่น ริกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ)
ไปหวีดกะหัวหน้าทริปทันที หัวหน้าทริปก็ปลอบใจว่า เค้าน่าจะรู้ใบรับรองการทำงานเป็นหลักนะ
ใบรับรองการทำงานก็ระบุชัดเจนว่าเงินเดือนเท่าไหร่ มันก็น่าจะโอ

คือมันนอยด์อ่ะ มันก็ make sense ว่าแบบ แหม แกจะมาดูข้อมูลยอดสุดท้ายในบัญชี
แล้วมาตัดสินคนคนนี้ว่าไม่หนีเข้าประเทศแกหรอก มันก็ดูไม่ใช่อ่ะนะ
มันต้องดูหลายๆอย่างประกอบอัน
แต่มันอดนอยด์ไม่ด๊ายยย ศรีทำไม่ด๊ายยย

พอถึงวันที่ 15 กุมภา เรานัดกันที่สถานฑูตปากีสถานเลย
อยู่ สุขุมวิท ซอย 3 ลง BTS เพลินจิต แล้วเดินต่อ
วันที่ไปทำวีซ่า จะมีคนปากีสถานมาช่วยดูให้ เป็นคนที่ติดต่อซื้อ local tour ไว้
ตอนยื่นเอกสารก็งงๆ คือคนปากีจะช่วยดูให้เกือบทั้งหมด
ตอนแรกๆก็ไปยื่นกันทีละคน แต่สุดท้ายไม่รู้ยังไง เค้าก็รวบรวมของทุกคนไปทีเดียว
แล้วก็ไปจ่ายตังค์ ค่าธรรมเนียม คนละ 1,300 บาท (หัวหน้าทริปดำเนินการให้)
หลังจากนั้นอีกประมาณ 3-4 วัน ก็ได้ passport คืน หัวหน้าทริปไปเอาให้อีกเช่นกัน 5555

แล้วผลคือ ผ่านจ้า เย้ๆๆๆๆๆๆๆ ถ้าไม่ผ่านคงไม่มี up blog นี้อ่ะนะ (แกก็ชัดเจนเกิ๊น)

เอาเป็นว่า วีซ่าก็คือว่าไม่ยากและไม่ง่าย คือถ้ามายื่นเองนี่ก็ไม่รู้จะทำไงเหมือนกัน
คนที่เจอตอนมาทำวีซ่าส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่ซื้อทัวร์มา
ตอนนี้ได้ Passport กลับมาพร้อมวีซ่าปากีสถาน โล่งใจขึ้นเยอะ นึกว่าต้องเสียค่าตั๋วฟรีแล้ว

หลังจากนั้นก็จะเป็นการเตรียมซื้อประกันการเดินทาง (ยังเลือกไม่ได้)
กับการจัดกระเป๋า (อันนี้เรื่องใหญ่)
พร้อมกับศึกษาแผนการเดินทางว่าไปไหนบ้าง จะได้เตรียมตัวถูก
แล้วจะกลับมา up Day 0 Part 2 ต่อไป

じゃ また今度、おやすみなさい。

No comments:

Post a Comment