Sep 2, 2011

ทำงานอย่างไรให้มีความสุข (ว.วชิรเมธี)

**คัดลอกมาจากการเทศน์ผ่านไทยรัฐออนไลน์


ศิลปะการทำงานอย่างไรให้มีความสุข?


1. ทำงานที่ใจรัก เพราะถ้าเราทำงานที่ใจรัก ทุก ๆ วันจะเป็นวันแห่งความสุข เราไม่ต้องรอว่าความสุขจะมาถึงเราวันเสาร์-อาทิตย์ แต่ทุกวันที่เราทำงานจะเป็นวันแห่งความสุขของเรา เพราะว่าเราทำด้วยความรัก


2. ทำงานทุกชิ้นให้เต็มที่ให้ดี เพราะเมื่อเราสร้างงาน งานจะย้อนกลับมาสร้างคน งานคือเวทีแสดงออกซึ่งศักยภาพในการทำงานของเรา ทุกครั้งที่เราทำงานให้เต็มที่และทำอย่างดีที่สุด คนก็จะเห็นคุณค่าของเราว่ามีมากน้อยเพียงไร ดังนั้น เมื่อเราตั้งใจสร้างงาน งาน 1 ชั้นก็จะย้อนกลับมาสร้างคน


3. ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส เพราะเมื่อเราทำงานด้วยความสุจริต ก็ไม่ต้องมานั่งระแวงภัยที่จะตามมาในอนาคต ซึ่งเกิดจากการตามจับผิดโดยหน่วยงานของทางการต่าง ๆ ถ้าเราทำวันนี้ให้ถูกต้อง ก็ไม่ต้องนั่งกังวลว่าวันวานมันจะิผิด



4. เป็นนักประสานสิบทิศ อย่ามัวแต่ทำงานจนหลงลืมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ไม่มีใครเก่งอยู่ได้คนเดียว แท้ที่จริงเราจะต้องอาศัยผู้ร่วมงานจากทุกฝ่ายอยู่เสมอ ดังนั้น อย่ามัวแต่ทำงาน แต่จงทำคนด้วย เพื่อก่อให้เกิดสภาวะงานก็สำเร็จ ชีวิตก็รื่นรมย์ คนก็สำราญ งานก็สำเร็จ ใครทำงานได้อย่างนี้ คน ๆ นั้นก็จะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน จนกล่าวได้ว่า งานก็สำเร็จ ชีวิตก็รื่นรมย์


ถ้าไม่ได้ทำงานที่เรารัก เราจะมีความสุขหรือเปล่า?


ถ้าไม่ได้ทำงานที่เรารัก วิธีคิดที่ดีคือ การมองเชิงบวก
- เวลาเจองานหนักก็ให้บอกตัวเองว่านี่คือการฝึกตัวเอง
- เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ก็บอกตัวเองว่า ยิ่งปัญหาซับซ้อนเราก็ยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้น
- เวลาเจอเจ้านายที่ละเมียดละไมเหลือเกิน ก็ให้บอกตัวเองว่า นายที่รอบคอบแบบนี้จะฝึกเราให้สมบูรณ์แบบ
ฉะนั้น ถ้าเรามองเชิงบวกให้เป็น ถึงแม้เราจะไม่ได้ทำงานที่เรารัก แต่เราก็จะมีความสุขเสมอ ในเมื่อไม่มีสิ่งที่เราชอบ เราก็ควรชอบสิ่งที่เรามี เพราะในโลกนี้ไม่มีใครได้อะไรอย่างใจหวัง และจะไม่มีใครพลาดหวังทุกอย่างไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำ มีแง่ดีแง่งามอยู่เสมอ ขอให้เรามองให้เห็น ถ้ามองเห็นเราก็จะเป็นสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า


วิธีการมองเห็น ทำอย่างไรถึงจะมองเห็นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า


1. สังเกต สังเกตหาแง่ดีแง่งามของสิ่งต่าง ๆ ที่เราทำอยู่ในเจอ เช่น งานของพระอาจารย์เป็นงานที่ต้องเดินทางบ่อยมาก ไปเทศน์ไปสอนตลอด หลายคนก็บอกว่าเหนื่อยมาก ๆ ถ้ามาถามพระอาจารย์จะบอกว่า มันเหนื่อยก็จริง แต่มีความสุขมากเพราะได้เดินทางไปทั่วโลก ได้เจอผู้คน ได้พบภูมิประเทศใหม่ ๆ ได้สานสัมพันธ์ใหม่ ๆ ตลอดเวลา ฉะนั้น ในความเหนื่อยเราก็ได้เดินทางท่องไปทั่วทั้งโลก นี่คือแง่ดีแง่งาม แต่ส่วนใหญ่คนมักจะมองอยู่จุดเดียว มองแค่ว่าเรากำลังเหนื่อยหนักจริง ๆ เหนื่อยก็แค่ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนที่ดีเมื่อพิจารณาจริง ๆ แล้วมันมีมากกว่า ให้เราสังเกตอย่างนี้ รู้จักสังเกต รู้จักพินิจ พิจารณา เราจะเห็นความแตกต่างเสมอ


2. สังเกตแล้วต้องสังกา ให้ตั้งคำถามว่า เราจะสร้างสรรค์งานที่เราทำอยู่ให้ดีขึ้นได้อย่างไร ถ้าเราถามว่า ทำไม ทำไม ทำไม... ก็จะเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาทุกครั้งไป กาลิเลโอก็ดี นิวตั้นก็ดี ประสบความสำเร็จในชีวิตเพราะว่าเขาชอบตั้งคำถามว่าาทำไม นั่นแหละเคล็ดลับในการทำงาน


ทำงานที่ชอบ แต่เงินเดือนน้อย มองอย่างไรให้เป็นสุข?


ถ้าเงินเดือนน้อย ก็ต้องลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นของเราทิ้งไป แทนที่จะไปเรียกร้องเงินเดือนให้สูงขึ้น กว่าจะได้ก็ช้ามาก ก็ใช้วิธีปรับวิธีในการบริโภคของเราลง ที่จะบริโภค ต่างจากความอยากซึ่งเติมอย่างไรก็ไม่เต็ม มาเป็นบริโภคตามความจำเป็นดีกว่า มุ่งประโยชน์ใช้สอย อย่ามุ่งประโยชน์ใช้สวย ถ้าเราจับจ่ายใช้สอยในการถือหลักประโยชน์ใช่สวย มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ แต่ถ้าเราถือหลักจับจ่ายใช้สอย คือ จำเป็นแค่ไหนก็จับจ่ายใ้ช้สอยแค่นั้น พอกินพอใช้ ถึงแม้ไม่รวยแต่ก็ไม่ถึงขั้นตกต่ำย่ำแย่ แทนที่เราจะเรียกร้องเงินเยอะ ๆ ทำไมเราไม่ลดหรือเปลี่ยนวิธีในการบริโภคของเราแทน บริโภคตามตัณหาทำให้เรามีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ แต่บริโภคตามปัญหา ถึงเงินไม่มากมายอะไรแต่เราก็มีความสุขตามสมควร


วิธีการแก้ปัญหาในที่ทำงาน ทั้งโดนนินทา โดนแกล้ง


เวลาที่เราทำงานต้องมีอยู่แล้ว คนแกล้ง คนไม่พอใจ คนอิจฉาตาร้อน ให้เราถือหลักว่า


1. มารไม่มี บารมีไม่เกิด
2. สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นกำไรเสมอ
3. อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน เกิดเป็นคนอย่ากลัวทำนินทา
4. ถูกชมก็เข้าท่า ถูกด่าก็ไม่เลว


กว่าจะผ่านปัญหาไปได้ ต้องฝึกฝนตัวเองอย่างไร?


จะต้องทำตัวให้หนักแน่นดังแผ่นภูผา ลมมาพัดก็ไม่ปลิวไปตามลม ฝนสาดก็ไม่เปื่อยสลาย แดดส่องก็ไม่ละลายไปกับแสงแดด ฉะนั้น ทำตัวให้หนักแน่นดั่งแผ่นภูผา เราก็จะอยู่ได้ในทุกสภาวะของชีวิต


กรณีสำหรับคนที่ตกงาน มีวิธีอย่างไรไม่ให้เครียด


1. ต้องหางานทำ
2. หาแล้วไม่ได้ ต้องสร้างงานขึ้นมา ตกงานได้แต่อย่าให้ใจตก เพราะถ้าใจตก ชีวิตจะตกต่ำทันที ดังนั้น ไม่ต้องเสียใจ คนที่รวยที่สุดในโลกตอนนี้ สตีฟ จอบส์ ก็เคยตกงาน แต่ว่าเขาตกงานแล้วไม่ตกใจ จึงลุกขึ้นมาสร้างบริษัทใหม่ ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จได้

ฉะนั้น เราตกงานได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าความรู้ความสามารถของเราตกไปด้วย มันยังอยู่กับตัวเรา ก็เอาความรู้ความสามารถที่อยู่ในเนื้อในตัวเรา ลุกขึ้นมาสร้างงานใหม่ ทำอย่างนี้แล้วเราจะประสบความสำเร็จได้ โอกาสยังคงมีเสมอสำหรับผู้ที่ไม่ปิดกั้นตัวเอง ต้องหาความรู้เพิ่มเติม ให้ถือหลักพึ่งตนเอง อย่ารอพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในบรรยากาศที่บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ การพึ่งตนเองสำัคัญที่สุดเลย


ถ้ายังไม่ได้งานแล้วหันไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผิดหรือเปล่า?


เอาวันเวลาที่ไปบนบานสานกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น มาพินิจพิจารณาหาช่องทางทำกิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเราได้ในทางจิตวิทยา คือ ทำให้เราเคลิ้มๆ แต่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริง พูดอีกอย่าง "หนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นยาทา การใช้ปัญญาเป็นยากิน" การรักษาโลกต้องใช้ยากิน การใช้ยาทาก็เป็นการรักษาแต่ภายนอก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริง ประเทศไทยจะมีคนจนไหม ไม่มี... ประเทศที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดในโลกคืออินเดีย ปรากฏว่า มีประชากรกว่าร้อยล้านคนตกงาน นี่คือบทเรียนของการรอพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้น ให้หันมาพึ่งลำแข้งลำขา สติปัญหาของตัวเอง จึงจะดีที่สุด


น้อยใจทำงานมานานแล้วไม่มีโบนัส มีวิธีคิดอย่างไร?


ถ้าโบนัสไม่มา เอาเท่าที่มีก่อนก็ได้ มีคนอีกมากที่ตกงาน แต่เรายังมีงานทำ มองเป็นก็จะเห็นธรรม แต่ถ้ามองไม่เป็นก็จะมาน้อยใจ เวลาที่เรารู้สึกแย่ มองคนที่แย่กว่าเรา แล้วเราจะรู้สึกว่าเรายังได้เปรียบอยู่


ถ้าเป็นพวกที่บ้างานหนัก จะทำอย่างไร?


ต้องแสวงหาทางสายกลาง พวกที่เป็นโรค Workaholic ทั้งหลาย จะต้องแสวงหาทางสายกลางในการทำงาน การทำงานประสานกับคุณภาพของชีวิตคือผลสัมฤทธิ์ของคนทำงานมืออาชีพ ฉะนั้น อย่าเป็นคนบ้างานจนหลงลืมคุณภาพของชีวิต จะต้องรักษาสมดุลของงาน สมดุลชีวิต ให้ลงตัวพอเหมาะพอดี


เราจะคำนวณสัดส่วนสมดุลในการทำงานอย่างไร?


ใช้ทางสายกลางในการทำงานและการดำรงชีวิต 50-50 คือ งานกับชีวิตจะต้องสมดุลกันในลักษณะ 50-50 บ้างานมากเกินไป สิ่งที่ได้กลับมาก็คือความเครียดและสุขภาพไม่ดี บ้าใช้ชีวิตมากเกินไป สิ่งที่ได้กลับมาก็คือจะอดตายเอา ไม่มีเงินกิน ไม่มีเงินใช้ ฉะนั้น ต้องให้ทั้งสองส่วนมาสมดุลย์กัน 50-50 นี่คือทางสายกลางสำหรับคนทำงาน


ประสบการณ์ของพระอาจารย์ มีคนบ้างานจนถึงขั้นเสียชีวิตบ้างหรือเปล่า?


มีลูกศิษย์ที่ทำงานหนัก เงินเดือนแค่ 50,000 แต่ทำงานเหมือนตัวเองได้เงินเดือน 3 แสน ผลคือ เป็นโรคมะเร็งและรักษาอยู่ที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าไม่พบสาเหตุจากพันธุกรรม พออยู่สาเหตุเดียวคือ แบกความเครียดนานเกินไป เงินที่หามาทั้งชีวิตต้องนำมารักษาโรคมะเร็งทั้งหมด


ฉะนั้น สาเหตุหลักของมะเร็งในตอนนี้คือความเครียด นี่คือตัวอย่างของโรค Workaholic โรคบ้างาน ทำงานมากเกินไป สุดท้ายต้องไปใช้เงินในโรงพยาบาล ไม่ได้ใช้เงินอย่างมีความสุข


อยากให้พระอาจารย์แนะนำวิธีผ่อนคลายในการทำงานของพวกมนุษย์เงินเดือน


ถ้าเราทำงานแล้วคุณภาพชีวิตไม่ดี แสดงว่าเรากำลังเดินผิดทาง มันกำลังสุดโต่ง ฉะนั้น เวลาทำงาน อย่ามัวแต่ทำงาน ให้สังเกตคุณภาพชีวิตของตัวเองด้วย


เมื่อเราทำงาน มีเวลากินข้าวกับครอบครัวไหม เรามีเวลาพักผ่อนวันเสาร์วันอาทิตย์ไหม เรามีเวลาอยู่กับลูกและภรรยาไหม เรามีเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้างหรือเปล่า ถ้าสิ่งเหล่านี้ได้หายไปในชีวิต แสดงว่าคุณได้เสียสมดุลย์ชีวิตไปแล้ว ถ้าไม่ปรับมาสู่ทางสายกลาง แสดงว่าอนาคตอันใกล้ คุณกำลังป่วย เอาเงินที่หามาทั้งชีวิตมาใช้ในโรงพยาบาล


นี่เป็น "โรคอารยธรรม" ที่กำลังเกิดขึ้นกับมนุษย์ในยุคทุนนิยมทั่วโลก ที่อเมริกา ที่ญี่ปุ่น ป่วยด้วยโรค Workaholic เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก


ประเทศไทยเป็นอันดับต้น ๆ ของเอเชีย เพราะเราเครียดจากการเมือง เครียดจากเศรษฐกิจ เครียดจากการแข่งขันในระบบทุนนิยม ดังนั้น ใครที่เป็นโรคบ้างาน จะต้องระมัดระวัง ถามตัวเองด้วยว่า เรามีภาวะสมดุลย์งานสมดุลย์ชีวิตแล้วหรือยัง อย่าทำงานจนป่วยตาย อย่าหลงเสน่ห์อบายมุข อย่ามีความสุขจนลืมศีลธรรม


ถ้ามีคนถามพระอาจารย์ว่า งานจำเป็นต่อชีวิตหรือไม่?

งานจำเป็นต่อชีวิต เพราะทุกคนต้องกินต้องใช้ แต่ต้องไม่ลืมว่า ถ้าไม่มีชีวิต มีงานก็ศูนย์เปล่า


ความหมายของ "งาน" ในแบบของพระอาจารย์คืออะไร?


งานของเราก็คือ การทำให้เขามีความสุข ทุกวันอาตมามีความสุขมาก เพราะเป็นงานที่ไม่ได้ทำร้ายใครเลย อาตมาไปเทศน์ไปสอนไปบรรยาย ก็เหมือนเป็นการเอาความสุขไปโปรยให้กับคนทั่วทั้งสากลโลก ฉะนั้น ทุก ๆ วันที่เดินทางออกจากวัด อาตมามีความสุขมาก ทำงานเหมือนแสงเดือนแสงตะวันที่ชโลมผืนโลก ทำไปไม่หวังผลประโยชน์ หวังแค่ประโยชน์สุขที่เกิดขึ้นกับมนุษย์


อาตมามีความสุขที่เห็นคนอื่นมีความสุข เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากการทำให้คนอื่นมีความสุข เรียกว่า ให้สุขแก่ท่าน สุขนั้นถึงตัว ฉะนั้น ชีวิตการทำงานของอาตมาก็ถือว่ามีความสุข เพราะได้ทำงานที่ตัวเองรัก และปรัชญาในการทำงานของอาตมาก็คือ งานของเราคือการทำให้เขามีความสุข


แล้วงานที่ดีที่สุดคืออะไร?


งานที่จะทำให้เราอยู่ได้ในทางเศรษฐกิจ และมีชีวิตที่มีความร่มเย็นในจิตใจ คืองานในอุดมคติที่มนุษย์ทุกคนพึงสร้างสรรค์พัฒนาขึ้นมาให้ได้


ย้ำอีกครั้งหนึ่งคือ สามารถอยู่ได้ในทางเศรษฐกิจ มีชีวิตที่ร่มเย็นในจิตใจ เรียกว่าในทางกายภาพก็อยู่ได้ ในทางใจก็เป็นสุข


สุดท้าย ให้ศีลให้พรในวันปีใหม่เกี่ยวกับการทำงาน


ในโอกาศปีใหม่ ก็ขอมอบพร 4 ประการให้กับคนไทย พลังทั้ง 4 เพื่อความสวัสดีของชีวิตคนไทย


1. พลังปัญญา ขอให้คนไทยลดความรู้สึกลง กลับมาใช้เหตุผลให้มากขึ้น
2. พลังความเพียร ขอให้คนไทยพึ่งตนเอง ลดการพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์
3. พลังความสุจริต ขอให้คนไทยร่วมกันต่อต้านคอรัปชั่นทุกรูปแบบ แล้วหันมาเชื่อมั่นในความสุจริตโปร่งใส
4. พลังความสามัคคี ขอให้คนไทยเลิกเห็นแก่ตัวจนไม่เห็นหัวคนอื่น มาถือหลักธรรมใหม่ ๆ ว่า ส่วนไหน ๆ ก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าส่วนรวม ลด ละ เลิก การแบ่งแยก ไทยเหลือง ไทยแดง ไทยน้ำเงิน ให้เหลือเป็นไทยแลนด์ที่เป็นหนึ่งเดียว


เท่านี้ชีวิตก็จะมีความสุข คนไทยทั้งประเทศก็จะมีความสุข เพื่อความสวัสดีของคนไทย ให้เป็นพระปีใหม่ของเราชาวไทยทุก ๆ คน





No comments:

Post a Comment